JavHD
“ดร.สันติ-เอริค่า พิเชฐชัยกุล” คู่ชีวิตผู้ตามหา “ใบหน้าที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า”
สนับสนุนเนื้อหา
ใบหน้าของพระพุทธรูปที่เรากราบไหว้อยู่ทุกวันนี้ตรงตามลักษณะของพระพุทธเจ้าจริงหรือ ? คำสอนที่ส่งต่อกันมาหลังพุทธกาล จนถึงทุกวันนี้ความถูกต้องแท้จริงของคำสอนคืออะไร ? “ดร.สันติ และภรรยาคุณเอริค่า พิเชฐชัยกุล” ตั้งคำถามเหล่านี้ขึ้นมาเมื่อ 5 ปีก่อน
สำหรับคนในแวดวงศิลปะรู้จักดร.สันติ ในฐานะนักปั้นชาวไทยที่ได้รับการยอมรับให้เป็นประติมากรอันดับหนึ่งของโลก โดยเฉพาะการทำให้วงการศิลปะรู้จักรูปปั้นโลหะ (บรอนซ์) ที่มีลักษณะละเอียดอ่อนเหมือนผิวจริง ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติวงการประติมากรรมรูปปั้นโลหะครั้งแรกของโลก ส่วนคุณเอริค่า อาจารย์ด้านจิตวิทยาและคู่ชีวิตที่ร่วมค้นหาคำตอบจากการตั้งคำถามเหล่านั้น เพื่อตามหาใบหน้าและคำสอนที่แท้จริง โดยหวังว่าทุกคนจะได้เข้าใกล้พระพุทธเจ้าและเข้าถึงคำสอนที่แท้จริงอย่างที่พระองค์ตั้งใจไว้ตั้งแต่ก่อนปรินิพพาน
อะไรคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณทั้งสองตัดสินใจตามหาใบหน้าที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก
เอริค่า : เริ่มจากการตั้งคำถามง่ายๆ ด้วยการมองพระพุทธรูปที่อาจารย์สันติปั้น และถามว่าทำไมไม่ปั้นพระพุทธรูปเป็นคน เพราะดูเหมือนพระพุทธรูปที่เรากราบไหว้กันอยู่ทุกวันนี้เป็นการตัดทอนความเป็นจริงออกไป ทั้งๆ ที่การสร้างพระพุทธรูปครั้งแรกในโลกเป็นแนวเสมือนจริงเกิดขึ้นที่แคว้นคันธาราฐ ประเทศอินเดีย และในตอนนั้นคำสอนยังใกล้เคียงความเป็นจริงที่พระพุทธองค์สอน แต่ตอนนี้คำสอนของพระพุทธองค์กลายเป็นการกราบไหว้บูชา ทำพิธี ซึ่งขัดแย้งจากคำสอนดั้งเดิมที่เป็นการปฏิบัติธรรม
ทั้งสองจึงมีความคิดว่าจะเป็นการดีถ้าพระพุทธรูปมีใบหน้าเป็นคนธรรมดา เพราะจะเป็นแรงกำลังใจให้คนมองพระพุทธเจ้าเป็นครู อาจารย์ มากกว่าเป็นเทวดา เป็นเทพที่เข้าไม่ถึง
ทราบว่าพวกคุณใช้เวลาค้นคว้าหาข้อมูลนานมาก และยังมีความยากลำบากในการทำงาน
เอริค่า : เราเริ่มจากการไปดูเรื่องจริง พอเรารู้ว่าท่านเกิดที่ลุมพินีเราก็เดินทางไปที่ลุมพินี เพื่อหาว่าพระพุทธเจ้าแต่งตัวอย่างไร มันไม่ใช่แค่เรื่องกรรมพันธุ์ เราไปดูว่าพระพุทธเจ้าตั้งใจไว้ผมยาว โกนหัว โกนหนวด ใส่จีวรอย่างไรสิ่งเหล่านี้มันขึ้นอยู่กับสิ่งที่ท่านคิด ดังนั้นเราต้องรู้ว่าพระพุทธเจ้าคิดอะไร เราก็ไปอ่านพระไตรปิฎก อ่านแล้วก็ปวดหัว เพราะมันมีความขัดแย้งเกิดขึ้นเต็มไปหมด ช่วงแรกเครียดมาก เพราะไม่มีอะไรที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน กลายเป็นเรางงกว่าเดิม จนต้องขอความร่วมมือจากนักวิชาการชั้นนำของโลกทั้งนักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี นักมานุษวิทยาฯลฯ เพื่อมาร่วมกันแชร์ไอเดีย ซึ่งจะมีการประชุมเพื่อหาข้อสรุปที่ใกล้เคียงความเป็นจริงเกี่ยวกับใบหน้าและคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 22-29 เดือนพฤศจิกายนปีนี้ที่กรุงเทพฯ
ดร.สันติ-นอกจากเรื่องการหาข้อมูลแล้ว ตลอดระยะเวลาของการทำโปรเจคนี้ ปกติเราเป็นนักปั้น มีแกลอรี่อยู่ต่างประเทศ ขายงานศิลปะ แต่พอเรามีความคิดทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ และเรายังมีลูกเล็กๆ อีก 2 คน ความยากมันก็คือการจัดคิวให้ลูก และยังมีเรื่องของงบประมาณซึ่งไม่รู้ว่าจะหาจากที่ไหน ซึ่งที่ผ่านมาเราก็ใช้สมองและสองมือของเรา เราต้องทำงาน แต่ตอนนี้มีผู้ใหญ่ใจดีเข้ามาช่วยสนับสนุนการทำงานของเรา
การปั้นพระพุทธเจ้าในฐานะมนุษย์ สามารถสะท้อนคำสอนของพระองค์ได้ถูกต้องกว่าอย่างไร
ดร.สันติ : การปั้นพระพุทธรูปให้กลายเป็นสิ่งเหนือจริงออกไปมีหลายกรณี มีทั้งตัดทอนให้เหลือเป็นความทรงจำ เป็นสัญลักษณ์ มีกวางหมอบ มีพระธรรมจักร มีรอยพระพุทธบาท แค่แสดงว่านี่คือสัญลักษณ์ของพระพุทธองค์ แต่ไม่ได้บอกว่าพระองค์เป็นใคร สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความไม่รู้ เพราะมันคลุมเครือดังนั้นเราก็พยายามมองใหม่ว่า การปั้นพระพุทธเจ้าในฐานะมนุษย์สามารถสะท้อนคำสอนของพระองค์ในเรื่องสภาพความจริงของมนุษย์ ความไม่สมบูรณ์แบบชองมนุษย์ และความทุกข์ที่ทรงกล่าวไว้ในอริยสัจ 4 คือ1.ทุกข์ เป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา 2.สมุทัย คือ มูลเหตุหรือต้นเหตุแห่งทุกข์นั้น 3. นิโรธ คือ สิ่งที่ใช้ดับทุกข์ และ4. มรรค คือ แนวทางแห่งการดับทุกข์
และที่สำคัญที่สุดรูปปั้นในแบบมนุษย์ของพระพุทธเจ้า จะทำให้ความเป็นพุทธะที่มีอยู่ในตัวของเราทุกคนกระจ่างแจ้ง เป็นการย้ำเตือนพวกเราถึงทางเลือกส่วนบุคคลในการเดินตามทางสายกลาง และเปลี่ยนจากคนธรรมดาเป็นคนไม่ธรรมดาด้วยวิถีแห่งธรรมะ
คล้ายกับคุณกำลังจะบอกว่าโปรเจคนี้ทำขึ้นเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ
ดร.สันติ :ถ้าเรารู้จักพระพุทธเจ้าองค์จริงได้ ถ้าพูดตามภาษาวัยรุ่นคือ “เจ๋ง” เป็นฮีโร่ เป็นซูเปอร์แมน เพราะท่านจะน่านับถือกว่าพระพุทธรูปที่เรากราบไหว้บูชากัน ตัวจริงของท่านน่านับถือกว่านั้นอีก แต่ที่เรานับถือบูชาตอนนี้เป็นเพราะความกลัวหรือเปล่า หรือจะเอามาตั้งแล้วขอพรเฉยๆ ท่านอาจจะบอกว่าจริงๆ แล้วเราสอนแบบนี้ บางทีคนกราบไหว้แล้วขอว่าจะได้ๆ เสร็จแล้วก็ไปตีหัวเขา ตำรวจก็จับ บางคนก็ยิงกันในวัด นั่นคืออะไร แต่พระองค์ขอให้โฟกัสที่เรื่องการปฏิบัติ โครงการนี้จะทำให้เราภูมิใจมากกว่าเดิมว่าจริงๆ แล้วท่านเป็นยังไงกันแน่ แล้วน่านับถือ น่าเคารพขนาดไหน
เอริค่า : มันเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้วที่คนไทยยินดีต้อนรับเรื่องราวและความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น แต่บางครั้งเวลาย้อนกลับไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเหมือนหายไป สรุปแล้วพระพุทธเจ้าที่แท้จริงอยู่ไหน
ความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรมของโปรเจคตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ
ดร.สันติ: ตอนนี้เราปั้นอยู่ โดยเริ่มขึ้นโครงตั้งแต่ปีพ.ศ 2555 แต่หลังจากนั้นเราก็พักไว้ มาทำธุรกิจ ทำงาน จนมีคนเข้ามาสนับสนุนและมีทีมงานจากแคนาดาเข้ามาร่วมทำภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับสิ่งที่เราทำ ซึ่งจะออกฉายประมาณปลายปี 2561 เท่ากับว่าตอนนี้ในส่วนของการหาข้อมูลยังไม่เรียบร้อยเพราะเรายังจะต้องเดินทางไปดูพระพุทธรูปโบราณที่ยุโรป อังกฤษ อิตาลี บางคนอาจคิดว่าเรามโน แต่เรามั่นใจเพราะเราทำมา 40 ปีแล้ว เรามั่นใจในฝีมือ ความสามารถ ซึ่งหลังจากการประชุมเดือนพฤศจิกายนนี้เสร็จสิ้น ผมก็จะเริ่มปั้นพระพุทธรูปในแบบมนุษย์ต่อ และคาดว่าจะเสร็จภายในเดือนพฤษภาคมปีหน้า โดยทำเป็นไฟเบอร์กลาสเหมือนจริง ประดิษฐานที่ประเทศของเรานี่แหละ หลังจากนั้นจะปั้นพระพุทธเจ้าด้วยโลหะเป็นปางสมาธิ โดยให้มีขนาดองค์ใหญ่พอที่จะเป็นจุดดึงดูดให้คนทั่วโลกมาเห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เน้นความละเอียด ความเหมือนจริง ความมหัศจรรย์ของผิวโลหะทำให้เหมือนผิวจริง เราจะทำให้ใหญ่จนเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ใต้ฐานจะเป็นพิพิธภัณฑ์ มีเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าที่อาจจะไม่เคยเห็นมาก่อน
สิ่งที่นอกเหนือไปจากผลที่ว่า “ใบหน้าที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า” จะออกมาเป็นอย่างไรคือการรู้จักตั้งคำถามต่อสิ่งต่างๆ ที่เราเคยเชื่อ หรือถูกปลูกฝังให้เชื่อ พิสูจน์แล้วหาคำตอบ เพราะในที่สุดแล้วแม้ดินก้อนเดียวที่เราหยิบขึ้นมา แต่หากเราศรัทธาว่าดินนั้นศักดิ์สิทธิ์ และเราทำดี ทำเหมาะ ทำควร ไม่ว่าจะเป็นดิน หิน เพชร ก็มีค่าไม่ต่างกัน
No comments:
Post a Comment